Control valve คืออะไร ? อุปกรณ์สำคัญในระบบควบคุมกระบวนการอุตสาหกรรม

actuator with valve we call control valve

Control valve คืออะไร ?

วาล์วควบคุมหรือ Control valve เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของของเหลวหรือก๊าซในท่อ ผ่านการปรับเปลี่ยนขนาดของช่องทางการไหลตามสัญญาณที่ได้รับจากระบบควบคุมหรือตัวกระตุ้น(Actuators) ส่งผลให้สามารถควบคุมอัตราการไหล ความดัน อุณหภูมิ และระดับของเหลวในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ การทำงานของวาล์วควบคุมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ

วาล์วควบคุม control valve

ภาพที่ 1: ตัวอย่างหน้างานที่ติดตั้ง Control valve

แหล่งที่มา : wikipedia.org

ส่วนประกอบหลักของคอนโทรลวาล์ว

Control valve ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่:

  1. ตัวกระตุ้นวาล์ว (Valve Actuator): ทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนควบคุมของวาล์ว เช่น ลูกบอล ปลั๊ก หรือแผ่นผีเสื้อ ตัวกระตุ้นวาล์วจะรับสัญญาณจากระบบควบคุมและแปลงเป็นแรงกลเพื่อปรับตำแหน่งของชิ้นส่วนควบคุม โดยทั่วไปมีหลายประเภท เช่น แบบนิวแมติก ไฮดรอลิก หรือไฟฟ้า ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน
  2. ตัวกำหนดตำแหน่งวาล์ว (Valve Positioner): อุปกรณ์ส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบตำแหน่งของชิ้นส่วนควบคุมวาล์ว เพื่อให้มั่นใจว่าวาล์วเปิดหรือปิดในระดับที่ต้องการอย่างแม่นยำ ตัวกำหนดตำแหน่งวาล์วช่วยลดผลกระทบจากแรงเสียดทานและการสึกหรอที่อาจเกิดขึ้นในระบบกลไก ทำให้การควบคุมมีความแม่นยำและเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการการควบคุมที่ละเอียดอ่อน
  3. ตัววาล์ว (Valve Body): เป็นส่วนที่บรรจุชิ้นส่วนควบคุมการไหล เช่น ปลั๊ก ลูกโลก ลูกบอล หรือแผ่นผีเสื้อ ตัววาล์วออกแบบมาให้ทนทานต่อแรงดันและอุณหภูมิสูง รวมถึงต้องสามารถทนต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีที่ไหลผ่านได้ดี การเลือกวัสดุและการออกแบบตัววาล์วจึงต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติของของไหลที่ต้องควบคุม
ส่วนประกอบ control valve

ภาพที่ 2: ส่วนประกอบของวาล์วควบคุม ภาพจาก www.fctvalve.com

ประเภทของวาล์วควบคุม

วาล์วควบคุมสามารถแบ่งประเภทได้หลายวิธี แต่การแบ่งตามลักษณะของตัวกระตุ้นเป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยแบ่งได้ดังนี้

  1. วาล์วควบคุมด้วยมือ (Manual Control Valve): เป็นวาล์วที่ควบคุมด้วยแรงงานมนุษย์ผ่านล้อหมุนหรือคันโยก เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้งหรือในสถานที่ที่ไม่มีแหล่งพลังงานอื่น ข้อดีคือมีความเรียบง่าย ราคาถูก และบำรุงรักษาง่าย แต่ข้อเสียคือไม่สามารถควบคุมจากระยะไกลหรือเชื่อมต่อกับระบบควบคุมอัตโนมัติได้
  2. วาล์วระบบนิวแมติก (Pneumatic Control Valve): ใช้พลังงานจากก๊าซอัดเป็นตัวขับเคลื่อน โดยทั่วไปมักใช้อากาศอัด แต่ในบางกรณีอาจใช้ก๊าซไฮโดรคาร์บอนหรือไนโตรเจน วาล์วประเภทนี้มีความนิยมสูงในอุตสาหกรรมเนื่องจากมีความปลอดภัยสูง ตอบสนองรวดเร็ว และสามารถใช้งานในพื้นที่อันตรายได้ ระบบนิวแมติกอาจใช้ไดอะแฟรมสปริง กระบอกลูกสูบ หรือแอคชูเอเตอร์แบบสปริงลูกสูบเป็นกลไกในการควบคุม
  3. วาล์วควบคุมด้วยไฮดรอลิก (Hydraulic Control Valve): ใช้ของเหลวที่ไม่สามารถอัดตัวได้ เช่น น้ำมันไฮดรอลิก เป็นตัวส่งกำลัง วาล์วประเภทนี้สามารถให้แรงบิดสูงและควบคุมได้แม่นยำ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการแรงควบคุมสูง อย่างไรก็ตาม ระบบไฮดรอลิกมักมีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าระบบนิวแมติก และมีความเสี่ยงในเรื่องการรั่วไหลของน้ำมันไฮดรอลิก
  4. วาล์วควบคุมด้วยไฟฟ้า (Electric Control Valve): ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน มีข้อดีคือสามารถควบคุมได้แม่นยำ ติดตั้งและบำรุงรักษาง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับระบบควบคุมดิจิทัลได้สะดวก อย่างไรก็ตาม วาล์วไฟฟ้าอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการระเบิดหรือในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง

ประเภทของวาล์วควบคุมตามลักษณะการทำงาน

นอกจากการแบ่งตามลักษณะของตัวกระตุ้นแล้ว วาล์วควบคุมยังสามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ดังนี้:

  1. วาล์วแบบแกนเลื่อน (Linear Motion Valves):
    • วาล์วโกลบ (Globe Valve): เป็นวาล์วที่นิยมใช้มากที่สุดในงานควบคุมการไหล มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน และสามารถควบคุมการไหลได้อย่างแม่นยำ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการการปรับละเอียดและมีการเปิดปิดบ่อยครั้ง
    • วาล์วตัวมุม (Angle Valve): มีลักษณะคล้ายวาล์วโกลบแต่ทางเข้าและทางออกทำมุม 90 องศากัน เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่จำกัดและช่วยลดการสั่นสะเทือนในระบบท่อ
    • วาล์วลูกสูบที่นั่งมุม (Angle Piston Valve): เป็นวาล์วที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการไหลที่มีความดันสูงและอัตราการไหลสูง มีความทนทานต่อการสึกหรอสูง
    • วาล์วไหลตามแนวแกน (Axial Flow Valve): ออกแบบมาให้มีการสูญเสียแรงดันต่ำ เหมาะสำหรับการควบคุมการไหลของของเหลวที่มีความหนืดสูงหรือของเหลวที่มีอนุภาคแขวนลอย
  2. วาล์วแบบหมุน (Rotary Motion Valves):
    • วาล์วผีเสื้อ (Butterfly Valve): มีโครงสร้างกะทัดรัด น้ำหนักเบา และราคาไม่สูงมาก เหมาะสำหรับการควบคุมการไหลของของเหลวที่มีความหนืดต่ำถึงปานกลาง และในระบบที่ต้องการการเปิดปิดอย่างรวดเร็ว
    • บอลวาล์ว (Ball Valve): มีคุณสมบัติในการปิดสนิทที่ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการการปิดกั้นการไหลอย่างสมบูรณ์ และสามารถทนต่อแรงดันและอุณหภูมิสูงได้ดี
  3. วาล์วประเภทอื่นๆ:
    • วาล์วบีบ (Pinch Valve): ใช้การบีบท่อยางหรือท่อพลาสติกเพื่อควบคุมการไหล เหมาะสำหรับการใช้งานกับของเหลวที่มีอนุภาคแขวนลอยหรือของเหลวที่มีความหนืดสูง
    • วาล์วไดอะแฟรม (Diaphragm Valve): ใช้แผ่นยืดหยุ่นในการควบคุมการไหล เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหารและยา เนื่องจากสามารถทำความสะอาดได้ง่ายและไม่มีจุดอับที่ของเหลวอาจค้างอยู่

การเลือกใช้วาล์วควบคุม

การเลือกใช้วาล์วควบคุมที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของระบบควบคุมกระบวนการ โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. ลักษณะของของไหล: ต้องพิจารณาคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของของไหล เช่น ความหนืด(Viscosity) ความหนาแน่น การกัดกร่อน และการมีอนุภาคแขวนลอย
  2. สภาวะการทำงาน: ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิ ความดัน และอัตราการไหลในระบบ รวมถึงความต้องการในการควบคุมที่แม่นยำและการตอบสนองที่รวดเร็ว
  3. ลักษณะการติดตั้ง: พิจารณาพื้นที่ที่มีสำหรับการติดตั้ง ทิศทางการไหล และความสะดวกในการบำรุงรักษา
  4. ความปลอดภัยและข้อกำหนดทางกฎหมาย: ต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมนั้นๆ และข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  5. ต้นทุนและความคุ้มค่า: พิจารณาทั้งต้นทุนในการจัดซื้อ ติดตั้ง และบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน
  6. ความเข้ากันได้กับระบบควบคุม: ต้องมั่นใจว่าวาล์วที่เลือกสามารถทำงานร่วมกับระบบควบคุมที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากกระบวนการมีการใช้ถังลมเป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน อาจเลือกใช้ Control valve ระบบนิวเมติกส์ อาจช่วยลดต้นทุนในการออกแบบหน้างานใหม่

การบำรุงรักษาวาล์วควบคุม

การบำรุงรักษาวาล์วควบคุมอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของวาล์ว โดยมีแนวทางดังนี้

  1. การตรวจสอบเป็นประจำ: ควรมีการตรวจสอบสภาพทั่วไปของวาล์ว การรั่วซึม และการทำงานของกลไกต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
  2. การหล่อลื่น: ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวควรได้รับการหล่อลื่นตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อลดการสึกหรอ
  3. การทำความสะอาด: ควรทำความสะอาดวาล์วและชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
  4. การปรับแต่ง: ควรมีการปรับแต่งและสอบเทียบวาล์วเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงทำงานได้อย่างแม่นยำ
  5. การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ: ชิ้นส่วนที่มีการสึกหรอ เช่น ซีล ปะเก็น หรือไดอะแฟรม ควรได้รับการเปลี่ยนตามกำหนดเวลาหรือเมื่อพบความเสียหาย

สรุป

โดยสรุปแล้ว Control valve เป็นการกระตุ้นวาล์วด้วยแอคชูเอเตอร์ประเภทต่าง ๆ ให้เปิด-ปิดได้โดยง่าย สามารถควบคุมระยะไกลได้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในกระบวนการทางอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ โดย Control valve แต่ละประเภทมีข้อจำกัดรวมถึงจุดเด่นที่แตกต่างกัน ผู้ใช้งานควรศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของวาล์วควบคุมและความต้องการในการใช้งานของระบบเพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

 

 

แสดงความคิดเห็น

"ความต้องการของคุณ คือหน้าที่ของเรา"

เกี่ยวกับเรา

บริษัท ปาโก้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เราเป็นผู้นำเข้าเครื่องมือวัด เช่น Pressure gauge, Flow meter รวมถึงอุปกรณ์นิวเมติกส์อย่าง Actuators 

ติดต่อเรา

บทความล่าสุด

ติดตามเรา

วิดีโอล่าสุดจาก ปาโก้ เอ็นจิเนียริ่ง

ประกาศจาก ปาโก้ เอ็นจิเนียริ่ง

หยุดทำการ ในวันที่
29 ธ.ค. ถึง 2 ม.ค. เปิดทำการปกติ 3 ม.ค. 2567